ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับสิงหาคม 2555 |
---|---|
ผู้เขียน | วรชาติ มีชูบท |
เผยแพร่ |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายเรื่อง “คุ้มหลวง” และ “หอคำ” ในมณฑลภาคพายัพไว้ใน “บันทึกความเห็น เรื่อง คุ้มหลวง และหอคำที่เมืองน่าน” ว่า
“สถานที่ซึ่งเรียกตามภาษาไทยเหนือว่า ‘คุ้ม’ นั้น ตรงกับคำไทยใต้เรียกว่า ‘วัง’ คุ้มหลวง ก็คือวังหลวง ความหมายว่าวังอันเป็นที่สถิตของเจ้าผู้ครองเมือง
สถานที่ซึ่งไทยเหนือเรียกว่า ‘หอคำ’ นั้น ตรงกับคำไทยใต้เรียกว่า ‘ตำหนักทอง’ คือเรือนที่อยู่ของเจ้าผู้ครองเมือง สร้างไว้ในบริเวณคุ้มหลวง เป็นเครื่องประดับเกียรติยศ
![หอคำ เชียงใหม่](https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2017/01/1-12.jpg)
บรรดาเมืองประเทศราชในมณฑลพายัพ ทุกเมืองย่อมมีบริเวณที่คุ้มหลวงสำหรับเมือง ใครได้เป็นเจ้าเมือง จะเป็นโดยผู้รับมฤดกเจ้าเมืองคนก่อนก็ตาม หรือมิได้เป็นผู้รับมฤดกก็ตาม ย่อมย้ายจากบ้านเดิมไปอยู่ที่คุ้มหลวงทุกคน
แต่ส่วนเหย้าเรือนในคุ้มหลวงนั้น เพราะแต่ก่อนมาสร้างเป็นเครื่องไม้ ถ้าเจ้าเมืองคนใหม่ไม่พอใจ จะอยู่ร่วมเรือนกับเจ้าเมืองคนก่อน ก็มักให้เอาไปปลูกถวายวัด (ยังมีปรากฏเป็นวิหารอยู่ที่เมืองเชียงใหม่หลายแห่ง) แล้วสั่งกะเกณฑ์ให้สร้างเรือนขึ้นอยู่ใหม่ตามชอบใจของตน ว่าด้วยคุ้มหลวงประเพณีมีสืบมาดั่งนี้
หอคำนั้น ไม่ได้มีทุกเมืองประเทศราช เพราะเป็นเครื่องประดับเกียรติยศพิเศษสำหรับตัวเจ้าผู้ครอง ต่อเจ้าผู้ครองเมืองคนใดได้รับเกียรติยศพิเศษสูงกว่าเป็นเจ้าผู้ครองเมืองโดยสามัญ เช่น ทรงตั้งเป็น ‘พระเจ้า’ จึ่งสร้างหอคำขึ้นเป็นที่อยู่เฉลิมเกียรติยศนั้น แต่เมื่อถึงพิราลัยแล้ว ก็มักรื้อย้ายหอคำไปถวายวัดตามประเพณี…” [1]
ธรรมเนียมการสร้าง หอคำ นี้ มีหลักฐานปรากฏในพงศาวดารโยนกและตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ว่า มีการสร้างหอคำประดับเกียรติยศมาแต่ครั้งราชวงศ์มังรายครองนครเชียงใหม่ แต่เมื่อนครเชียงใหม่ตกอยู่ใต้การปกครองของพม่าเป็นเวลากว่า 200 ปีนั้น ยังจะมีหอคำอยู่หรือไม่นั้น ไม่พบหลักฐานใดๆ ที่กล่าวถึง ในชั้นนี้คงพบหลักฐานแต่เพียงความตอนหนึ่งใน “บันทึกชี้แจงเรื่องคุ้มหลวงเมืองนครลำปาง” ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงชี้แจงต่อศาลในวันมาสืบที่วัง เมื่อ พ.ศ.
2469 มีความตอนหนึ่งว่า
“ในรัชกาลที่ 2 นั้น ทรงสถาปนาพระยานครลำปางดวงทิพให้มีเกียรติยศสูงขึ้นเป็นพระเจ้านครลำปาง เหมือนอย่างที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้เคยทรงสถาปนาพระยาเชียงใหม่กาวิละขึ้นเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ พระเจ้าเชียงใหม่เคยสร้างเวียงแก้ว (คือทำนองเป็นอย่างวัง) ขึ้นประดับเกียรติยศ เมื่อพระยานครลำปางดวงทิพได้เป็นพระเจ้านครลำปาง ก็สร้าง ‘หอคำ’ (แปลว่าตำหนักทอง) ขึ้นประดับเกียรติยศในที่คุ้มหลวงนั้น” [2]
นับแต่นั้นมาจึงเกิดเป็นธรรมเนียมในประเทศราชล้านนาว่า เมื่อเจ้านครคนใดได้รับพระราชทานสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าประเทศราชมีเกียรติยศพิเศษเหนือกว่าเจ้านครคนอื่นแล้ว จะต้องสร้างหอคำขึ้นประดับเกียรติยศ
ดังเช่น คราวที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาสถาปนา พระยาน่านอนันตยศ ขึ้นเป็น “เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ” ให้มีเกียรติยศพิเศษสูงยิ่งกว่าเจ้าเมืองน่านคนก่อนๆ ซึ่งเคยมียศเป็นเพียงพระยาประเทศราชแล้ว
“…ใน พ.ศ. 2400 เจ้าอนันตวรฤทธิเดช จึ่งสร้างหอคำขึ้น และให้แปลงชื่อคุ้มหลวงเรียกว่า ‘คุ้มแก้ว’ ให้วิเศษขึ้นตามเกียรติยศ…แต่เมื่อเจ้าสุริยพงศผริตเดชเป็นเจ้านครน่านเมื่อ พ.ศ. 2436 ก็เข้าไปอยู่ในคุ้มแก้ว และให้กลับเรียกว่าคุ้มหลวงเหมือนอย่างเจ้าเมืองน่านแต่ก่อนมา…” [3]
แต่ที่เมืองเชียงใหม่นั้นแปลกกว่าเมืองอื่น ด้วยไม่ปรากฏนาม “คุ้มหลวง” หรือ “คุ้มแก้ว” หากแต่เรียกที่พำนักของผู้ครองนครว่า “เวียงแก้ว” เหตุไฉนจึงเรียก คุ้มหลวง ว่า “เวียงแก้ว” ในชั้นนี้ยังไม่สามารถสืบหาหลักฐานที่แน่ชัดได้ จึงได้แต่เพียงสันนิษฐานไปตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ว่า
เมื่อครั้งที่เชียงใหม่เสียเมืองให้แก่พม่า ในรัชสมัยพระเมกุฏิสุทธิวงศ์ในจุลศักราช 920 (พ.ศ. 2101) นั้น พระเจ้าหงสาวดีบยินนอง (บุเรงนอง) คงมอบให้พระเมกุฏิสุทธิวงศ์ครองเมืองนครเชียงใหม่ต่อมา ดังมีความปรากฏในพงศาวดารโยนก ว่า
“ครั้นอยู่มา ท้าวพระยารามัญผู้อยู่รั้งเมืองนครเชียงใหม่กระทำการอุกอาจ มิได้อ่อนน้อมต่อพระเจ้านครเชียงใหม่ กิตติศัพท์ทราบไปถึงพระเจ้าหงสาวดี จึงมีตราให้ข้าหลวงถือมาบังคับท้าวพระยารามัญผู้รั้งเมืองนครเชียงใหม่ ให้ฟังบังคับบัญชาพระเจ้านครเชียงใหม่ และน้อมนำคำรพต่อพระเจ้านครเชียงใหม่สืบไป” [4]
![](https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2017/01/2.jpg)
ความในพงศาวดารโยนกตอนดังกล่าวย่อมเป็นพยานชี้ชัดว่า เมื่อเชียงใหม่ยอมสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑสีมาของกรุงหงสาวดีใน พ.ศ. 2301 นั้นแล้ว เมื่อพระเจ้ากรุงหงสาวดียกทัพกลับไปนั้นคงจะได้มอบหมายให้ท้าวพระยารามัญจำนวนหนึ่งคงอยู่ที่เมืองนครเชียงใหม่
ปัญหาที่ต้องขบคิดตามมาคือ ท้าวพระยารามัญผู้อยู่รั้งเมืองนครเชียงใหม่นั้นจะไปตั้งฐานที่พำนักอยู่ที่ใด ในเมื่อภายในกำแพงเมืองนครเชียงใหม่ก็มีวัดวาอาราม และบ้านเรือนไพร่ฟ้าประชาชนปลูกอยู่เต็มไปหมด จึงคงจะมีแต่ “ข่วงหลวง” ที่ฝั่งตรงกันข้ามคุ้มแก้ว ที่เป็นพื้นที่ว่างที่กว้างขวางพอจะจัดเป็นค่ายพักแรมของท้าวพระยารามัญที่เป็นผู้รั้งเมืองนครเชียงใหม่นั้นได้
![](https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2017/01/2.1.jpg)
อนึ่งเมื่อคำนึงถึงความในพงศาวดารโยนกที่กล่าวว่า ท้าวพระยารามัญผู้รั้งเมืองนครเชียงใหม่ได้กระทำการอุกอาจมิได้อ่อนน้อมต่อพระเจ้านครเชียงใหม่นั้นแล้ว ก็ชวนให้เชื่อว่า ท้าวพระยารามัญผู้รั้งเมืองนครเชียงใหม่ที่กระทำการอุกอาจในคราวนั้น คงจะได้จัดค่ายซึ่งเป็นที่พำนักในบริเวณข่วงหลวงให้เป็นประดุจเมืองที่มีค่ายคูประตูหอรบพร้อมสรรพ
ชาวนครเชียงใหม่ในเวลานั้นจึงคงจะเรียกค่ายพำนักของท้าวพระยารามัญผู้รั้งเมืองนครเชียงใหม่นั้นว่า “เวียงหน้าคุ้มแก้ว”
ครั้นพระเมกุฏิสุทธิวงศ์เจ้านครพิงค์เชียงใหม่กับพระยากระมลผู้ครองเมืองเชียงแสนร่วมกันคิดแข็งเมืองต่อกรุงหงสาวดีเมื่อปีชวดฉศก จุลศักราช 926 (พ.ศ. 2107) นั้น พระเจ้าหงสาวดีได้ยกกองทัพหลวงมาตีเมืองเชียงใหม่ได้ และเอาตัวพระเมกุฏิฯ และพระยากระมลส่งไปไว้กรุงหงสาวดีแล้ว
พระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ตั้งราชเทวีซึ่งเป็นเชื้อสายพระเจ้าเชียงใหม่แต่ก่อนขึ้นเป็นราชินี ทรงนามว่า พระวิสุทธิเทวี ให้ครองเมืองเชียงใหม่ร่วมกับขุนนางรามัญผู้เป็นข้าหลวงกำกับเมืองเชียงใหม่แล้ว ข้าหลวงพม่าผู้กำกับเมืองนครเชียงใหม่ก็คงจะพำนักอยู่ที่เวียงหน้าคุ้มแก้วซึ่งเป็นค่ายพักของพม่าต่อมา ตราบจนนางพญาวิสุทธิราชเทวีถึงพิราลัยใน พ.ศ. 2121 คุ้มแก้วซึ่งคงจะปลูกสร้างด้วยไม้ก็คงจะถูกปล่อยให้ทิ้งร้างและผุพัง จนถูกรื้อถอนไปในที่สุด
จากนั้นมาคำว่า คุ้มแก้ว จึงน่าจะสูญหายไปจากนครเชียงใหม่ และคำว่า “เวียงหน้าคุ้มแก้ว” คงจะกร่อนลงเป็น “เวียงแก้ว” ในเวลาต่อมา
พม่าคงครองเมืองนครเชียงใหม่ต่อมาจนถึงคราวที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกกองทัพจากเมืองใต้ขึ้นมาตีเมืองเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2317 ในคราวนั้นพม่าผู้รักษาเมืองนครเชียงใหม่ต่างก็แตกตื่นหลบหนีออกจากเมืองทางประตูช้างเผือก จนถึงกับเหยียบกันตายเป็นจำนวนมาก
เสร็จศึกคราวนั้นแล้วเมืองเชียงใหม่ก็ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลาช้านานกว่า 20 ปี ล่วงมาถึง พ.ศ. 2337 พระเจ้ากาวิละ ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็น เจ้านครเชียงใหม่ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2325 จึงได้คุมไพร่พลจากเวียงป่าซางมาฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ แต่ในระหว่างนั้นคงจะได้สร้างบ้านแปลงเมืองพร้อมกับสร้างหอคำขึ้นประดับเกียรติยศไว้เป็นที่พำนัก ภายในพื้นที่ตอนเหนือของเวียงแก้วก่อน
ครั้นวันพฤหัสบดี เดือน 6 (เหนือ) ขึ้น 12 ค่ำ (ตรงกับวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2339) พระเจ้ากาวิละจึงพร้อมด้วยญาติพี่น้องบุตรหลาน แสนท้าวพระยาทั้งปวง พากันยกครัวเรือนจากเวียงป่าซางเข้ามาถึงเมืองนครเชียงใหม่
“…กระทำประทักษิณรอบนครแล้ว เวลาจวนเที่ยงก็เข้าประตูช้างเผือกอันเป็นประตูด้านทิศอุดร ไปพักพล ณ วัดเชียงมั่นอันเป็นที่ชัยภูมิแห่งนคร แรมในที่นั้นราตรีหนึ่ง รุ่งขึ้น ณ วันศุกร์ เดือน ๖ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เวลาสายจึงเข้าสู่นิเวศน์สถานที่อยู่อันสร้างไว้ภายในนครนั้น…” [5] และพระเจ้ากาวิละคงได้พำนักอยู่ที่เวียงแก้วนั้นมาตราบจนพิราลัยใน พ.ศ. 2356
ต่อจากนั้นเมื่อ พระยาธรรมลังกา และ พระยาคำฟั่น ซึ่งเป็นน้องร่วมบิดามารดาของพระเจ้ากาวิละ ได้รับสถาปนาขึ้นเป็น เจ้านครเชียงใหม่ที่ 2 และ 3 สืบต่อกันมา พระยานครเชียงใหม่ทั้ง 2 คนก็คงจะได้ย้ายจากนิวาสสถานเดิมที่ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองนครเชียงใหม่ เข้ามาพำนักที่เวียงแก้วตามตำแหน่งต่อเนื่องกันมา ดังปรากฏความในพระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่กล่าวไว้ในตอนต้น
แต่เมื่อ พระยาอุปราชพุทธวงศ์ บุตรนายพ่อเรือน ซึ่งเป็นหลานของเจ้านครเชียงใหม่ ๓ คนแรกได้เป็นผู้รั้งตำแหน่ง เจ้านครเชียงใหม่ที่ 4 ใน พ.ศ. 2368 แล้ว ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ได้กล่าวไว้ว่า
“เถิงสกราช 1187 ปีดับเล้า เดือน 9 เพ็งวัน 4 (20 พฤษภาคม 2368) [6] มหาขัตติยวงสาท้าวพระยาเสนาอามาจก็น้อมบ้านเวนเมืองหื้อท่านเป็นอิสระเป็นประธานเป็นเจ้าเป็นใหญ่แก่รัฐประชาราษฎร์บ้านเมืองทังมวล อยู่สถิตสำราญคุ้มวังเก่าแห่งท่านที่วันตกวัดสรีเกิดหน้าวัดพระสิงหราม [7] ได้ 3 ปี ก่อนหั้นแล” [8]
ครั้นพระยาอุปราชพุทธวงศ์ลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท รับพระราชทานสถาปนาขึ้นเป็น พระยากากวรรณาธิปะราชวชิรปราการ เจ้านครเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2369 แล้ว พระยาเชียงใหม่พุทธวงศ์จึงได้กลับมาสร้าง “หอเทียม” ขึ้นใหม่ ทางทิศใต้ของหอคำภายในเวียงแก้ว แล้วคงพำนักอยู่ที่หอเทียมนั้นจนถึงแก่พิราลัยใน พ.ศ. 2389
ต่อมาในสมัยที่ พระยาอุปราชมหาวงศ์ บุตรของพระยาเชียงใหม่ธรรมลังกา เจ้านครเชียงใหม่ที่ 2 ได้ครองนครเชียงใหม่ ต่อจากพระยาเชียงใหม่พุทธวงศ์ แล้ว ก็คงจะได้พำนักอยู่ที่ “หอเทียม” ที่พระยาเชียงใหม่พุทธวงศ์สร้างไว้
ตราบจนได้รับพระราชทาน “…เลื่อนยศขึ้นเป็นพระเจ้ามโหตรประเทศราชาธิบดินทร์ นพีสินทรมหานคราธิสฐาน ภูบาลบพิตร สถิตในอุตมชิยางคราชวงศ์ เจ้านครเชียงใหม่…” [9] ใน พ.ศ. 2396 แล้ว คงจะย้ายจาก หอเทียม เข้าไปพำนักใน หอคำ ที่พระเจ้ากาวิละสร้างไว้แต่เดิม เพราะไม่พบหลักฐานใดๆ ที่กล่าวว่าพระเจ้ามโหตรประเทศได้สร้างหอคำขึ้นประดับเกียรติยศเลย
ทั้งในเวลาที่ได้รับพระราชทานสุพรรณบัฏ เลื่อนขึ้นพระเจ้านครเชียงใหม่นั้น ก็เป็นเวลาที่พระเจ้ามโหตรประเทศกำลังป่วย “…ครั้นเป็นเจ้าแล้วได้ 5 เดือนกับ 28 วัน ถึง ณ วันเดือนยี่ แรม 9 ค่ำ จุลศักราช 1216 ปีขาลฉศก[10] โรคกำเริบมากขึ้นก็ถึงพิราลัย…” [11]
![แผนที่ เชียงใหม่ เวียงแก้ว หอพระแก้ว](https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2017/01/3.jpg)
ด้วยเวลาที่จำกัดเพียง 5 เดือนเศษดังกล่าว จึงคาดกันว่า วิหารวัดพันเตาที่จดหมายเหตุเมืองเชียงใหม่บันทึกไว้ว่า “…จุลศักราช 1237 (พ.ศ. 2418) ปีกุนสัปตศก…วันเสาร์ เดือน 10 ขึ้น 8 ค่ำ [12] ปกวิหารวัดพันเตากลางเวียงเชียงใหม่ ที่เจ้าอินทวิไชยานนท์ เจ้านครเชียงใหม่ หื้อรื้อเอาหอคำของพระเจ้ามโหตรประเทศไปสร้างฯ…” [13] นั้น คงจะมิใช่หอคำของพระเจ้ามโหตรประเทศเป็นแน่ แต่น่าจะเป็นหอคำที่พระเจ้ากาวิละสร้างไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2337
พยานสำคัญที่สนับสนุนสมมติฐานข้อนี้คือ แม้วิหารวัดพันเตาจะสร้างขึ้นเป็นอาคารทรงไทย มีช่อฟ้าใบระกาตามฐานานุศักดิ์ ฝีมือช่างที่ปรากฏอยู่ที่วิหารวัดพันเตาในปัจจุบันยังเห็นได้ชัดว่าเป็นงานฝีมือที่ค่อนข้างหยาบ เสาไม้กลมก็เพียงแต่ถากให้พอเห็นว่าเป็นเสาทรงกลม ไม่มีการเกลาไม้ให้เรียบกลมดังเช่นเสาไม้ในวิหารวัดอื่นๆ ที่สร้างขึ้นในยามบ้านเมืองปกติสุข
นอกจากนั้นที่เหนือซุ้มประตูทางเข้าด้านหน้าวิหาร ยังคงปรากฏผลงานจำหลักไม้ปิดทองประดับกระจกเป็นรูปนกยูงรำแพน อันเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์พม่าอยู่เหนือตัวมอม สัตว์ในวรรณคดีล้านนา แสดงให้เห็นว่าเมื่อสร้างหอคำที่แปลงมาเป็นวิหารวัดพันเตานั้น แม้จะ “ฟื้นม่าน” หรือขับไล่พม่าไปจากนครเชียงใหม่ได้สำเร็จ แต่อิทธิพลของพม่าที่ครองนครเชียงใหม่มาช้านานกว่า 200 ปี น่าจะยังคงฝังรากลึกอยู่ในจิตใจชาวเชียงใหม่
หอคำนี้จึงยังคงปรากฏร่องรอยของพม่าในงานศิลปะสถาปัตยกรรมไทย อีกทั้งหอคำเมืองนครลำปางที่พระเจ้าลำปางดวงทิพได้สร้างขึ้น เมื่อคราวได้รับสถาปนาเป็นพระเจ้าประเทศราช ก็มีซุ้มประตูหน้าต่างที่น่าจะได้รับอิทธิพลไปจากซุ้มประตูหน้าต่างหอคำเมืองนครเชียงใหม่
จึงน่าจะสรุปได้ว่าวิหารวัดพันเตาที่เชื่อกันว่าเป็นหอคำของพระเจ้ามโหตรประเทศ ก็คือหอคำของพระเจ้ากาวิละนั่นเอง
![](https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2017/01/4-2.jpg)
อนึ่ง เมื่อพระยาเมืองแก้วสุริยวงศ์ บุตรพระเจ้ากาวิละ ได้รับสถาปนาขึ้นเป็น เจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ฯ เจ้านครเชียงใหม่ที่ 6 สืบต่อจากพระเจ้ามโหตรประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2399 แล้ว เจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ฯ ก็น่าจะพำนักอยู่ที่หอเทียมภายในเวียงแก้ว ตามเกียรติยศของเจ้าผู้ครองนครต่อมา
ครั้นได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ พระเจ้านครเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2404 จึงได้สร้างหอคำขึ้นประดับเกียรติยศในพื้นที่หอเทียม ซึ่งอยู่ด้านใต้ของพื้นที่หอคำของพระเจ้ากาวิละเวียงแก้วภายในเวียงแก้ว ดังมีหลักฐานปรากฏในจดหมายเหตุเมืองเชียงใหม่ว่า เมื่อพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. 2413 แล้ว
“ปีมะเมียโทศก วันพฤหัสบดี เดือน 8 ขึ้น 11 ค่ำ [14] เจ้าอุปราช (อินทนนท์) [15]ได้สร้างวิหารหลวงวัดกิตติ (ทิศใต้วัดเจดีย์หลวง) เอาโรงพระเจ้ากาวิโรรสฯ มาสร้าง
ฯลฯ
จุลศักราช 1237 (พ.ศ. 2418) ปีกุนสัปตศก…วันเสาร์ เดือน 10 ขึ้น 8 ค่ำ [16] ปกวิหารวัดพันเต่ากลางเวียงเชียงใหม่ ที่เจ้าอินทวิไชยานนท์ หื้อรื้อเอาหอคำของพระเจ้ามโหตรประเทศไปสร้าง ฯ
ฯลฯ
จุลศักราช 1239 (พ.ศ. 2420) ปีฉลูนพศก ปกวิหารวัดแสนฝาง ข้างประตูท่าแพชั้นนอก ข้างใน เจ้าอินทวิไชยานนท์ เจ้านครเชียงใหม่ให้รื้อเอาโรงเจ้ากาวิโรรสไปสร้าง…
ฯลฯ
ปีมะแมเบญจศก วันเสาร์ เพ็ญเดือน 5 พระเจ้าชีวิตอินทวิไชยานนท์ทำบุญฉลองวิหารวัดเชียงยืน เหนือเวียงนครเชียงใหม่ ที่ได้รื้อเอาโรงพระเจ้ากาวิโรรสไปสร้าง ฯ
ฯลฯ
จุลศักราช 1248 (พ.ศ. 2429) ปีจออัฐศก วันอาทิตย์ เพ็ญเดือน 7 [17] พระเจ้าชีวิตอินทวิไชยานนท์ทำบุญฉลองวิหารวัดเจดีย์หลวงแห่งหนึ่ง ฉลองพระวิหารวัดพันเต่ากลางเวียงที่รื้อเอาหอคำ ของพระเจ้าชีวิตมโหตรประเทศมาสร้างแห่งหนึ่ง, วิหารวัดสบขมิ้นแห่งหนึ่ง, วิหารวัดหอธรรมแห่งหนึ่ง…” [18]
ครั้นพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ถึงแก่พิราลัย เจ้าอุปราชอินทนนท์ ซึ่งได้รับสถาปนาขึ้นเป็น เจ้านครเชียงใหม่ที่ 7 ได้สร้าง คุ้มหลวง แห่งใหม่ขึ้นที่ข่วงหลวงหน้าศาลาสนาม ตรงบริเวณที่เป็นที่ตั้งตึกยุพราชและสนามของโรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ในพระอุปถัมภ์ฯ ในปัจจุบัน
เวียงแก้วซึ่งได้เป็นที่พำนักของเจ้านครเชียงใหม่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2339 จึงสิ้นสภาพการเป็น คุ้มหลวง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2413 และคงถูกปล่อยให้รกร้างมาเป็นเวลาร่วม 40 ปี จนถึงสมัยที่ เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ ได้รับสถาปนาขึ้นเป็น เจ้าผู้ครองเชียงใหม่ สืบต่อจากพระเจ้าอินทวิชยานนท์ ใน พ.ศ. 2444 เวียงแก้วก็คงจะถูกปล่อยให้รกร้างต่อมา จนเกิดน้ำท่วมที่ว่าการมณฑลพายัพที่ริมน้ำปิง เมื่อกลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2448 เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) ข้าหลวงใหญ่รักษาราชการมณฑลพายัพ ต้องย้ายที่ว่าการมณฑลพายัพเข้ามาเปิดทำการร่วมกับที่ว่าการเค้าสนามหลวงที่กลางเวียง
และเมื่อ เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ ได้ยกที่ดินฝั่งตรงข้ามที่ว่าการเค้าสนามหลวง ซึ่งในแผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. 2436 ระบุว่าเป็น “หอพระแก้วร้าง” ให้เป็นสถานที่ก่อสร้างศาลารัฐบาลมณฑลพายัพแทนอาคารเดิมที่ริมน้ำปิง
เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเรือนจำมณฑลพายัพตามประกาศตั้งผู้บัญชาการเรือนจำลงวันที่ 26 มิถุนายน ร.ศ. 122 (พ.ศ. 2446) ก็คงจะได้ “…ปรึกษากันกับเจ้าอินทรวโรรส เอาที่เวียงแก้วสร้างเรือนจำสำหรับเมืองเชียงใหม่…” [19] ทั้งนี้คงเป็นเพราะเวลานั้นคงจะมีแต่ที่ดินบริเวณเวียงแก้วเพียงผืนเดียวที่เป็นที่รกร้างขนาดใหญ่พอจะจัดสร้างเป็น “คอกหลวง” หรือ “เรือนจำมณฑลพายัพ” ได้ โดยไม่ต้องเวนคืนที่ดิน อันจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน
สอดคล้องกับความในลายพระหัตถ์ที่ นายพลตรี สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา กราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จฯ ตรวจราชการมณฑลพายัพในตอนปลาย พ.ศ. 2463 ที่ว่า
![](https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2017/01/5-1.jpg)
“ตัวเมืองเชียงใหม่นี้เป็นที่ใหญ่โตและภูมถานดียิ่งนัก สมควรที่จะเป็นเมืองใหญ่แห่งพระราชอาณาจักร์ฝ่ายเหนือ มีบ้านเรือนโรงร้านตึกห้างอย่างดีเกือบจะเผลอไปว่าเป็นกรุงเทพฯ ได้บ้างทีเดียว มีแปลกอย่างหนึ่งที่บ้านเมืองที่ครึกครื้นมาอยู่ริมลำแม่น้ำทั้งหมด
ส่วนภายในกำแพงที่เขาเรียกกันที่นี่ว่าในเวียงออกจะกลายเป็นป่า มีแต่วัดมากกว่าอย่างอื่น มีที่รกๆ ทิ้งอยู่เปล่าๆ เป็นอันมาก ที่ยังเป็นที่คนอยู่ได้ติดอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะเหตุที่มีศาลารัฐบาลและสถานที่ราชการบางอย่างตั้งอยู่ภายในกำแพงเมือง ทำให้คนต้องไปมา ก็มีราษฎรตั้งอยู่ขายข้าวขายของบ้าง แต่ร่วงโรยเสียเต็มทีความรู้สึกเดี๋ยวนี้ที่เรียกว่าในเวียงหน้าตาเป็นนอกเวียง ส่วนตัวเมืองจริงๆ อยู่ข้างนอกทั้งนั้น” [20]
สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทางราชการกำหนดให้เรือนจำในหัวเมืองมีที่ตั้งอยู่ใกล้ศาลารัฐบาลมณฑลหรือศาลากลางจังหวัด ก็เพราะ “ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยตั้งให้ข้าหลวงเทศาภิบาล, แลผู้ว่าราชการเมือง, เปนผู้บัญชาการเรือนจำในมณฑล, เมือง, ที่ได้บังคับบัญชานั้น แลให้ผู้บัญชาการเรือนจำที่ได้ตั้งนี้ มีอำนาจเต็มตามพระราชบัญญัติเรือนจำ ร.ศ. 120 แลกฎข้อบังคับเรือนจำซึ่งได้รับพระบรมราชานุญาตให้ตั้งขึ้นไว้” [21]
ประกอบกับ “ข้อบังคับเรือนจำสำหรับคุมขังนักโทษตามหัวเมือง” ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราขึ้นไว้เมื่อ ร.ศ. 118 (พ.ศ. 2442) ได้มีบทบัญญัติกำหนดหน้าที่ของผู้บัญชาการเรือนจำไว้ว่า
“น่าที่ผู้ว่าราชการเมืองบังคับการทั่วไป
ข้อ 1. ผู้ว่าราชการเมือง เปนผู้บังคับการคุมขังนักโทษในตะราง บรรดามีในจังหวัดเมืองนั้นทั่วไป เมื่อผู้ว่าราชการเมืองติดราชการอย่างอื่นจะให้ปลัดทำแทนก็ได้ แต่ผู้ว่าราชการเมืองต้องเปนผู้รับผิดชอบด้วย
ตรวจตะรางเนืองๆ
ข้อ 2. ผู้ว่าราชการเมืองต้องหมั่นไปตรวจตะรางที่คุมขังนักโทษในเมืองนั้นเนืองๆ อย่างน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่า 7 วัน ต่อครั้ง
ตรวจกลางคืนบ้าง
ข้อ 3. ในการที่ผู้ว่าราชการเมืองไปตรวจตะรางนั้น ต้องมีเวลาจู่โจมไปตรวจในกลางคืนเพื่อให้รู้เห็นอาการที่เจ้าพนักงานประจำรักษาประการใดด้วย
พบกับตัวนักโทษ
ข้อ 4. ในเวลาที่ผู้ว่าราชการเมืองไปตรวจตะรางในเวลากลางวันนั้น ควรตรวจให้พบกับตัวนักโทษบรรดามีถ้วนทุกคน และควรไต่ถามฟังคำร้องทุกข์ของนักโทษ ที่จะร้องเรียนขอความอนุเคราะห์ประการใดโดยสมควร” [22]
![แผนที่ เชียงใหม่](https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2017/01/6-1-e1539466001661.jpg)
มูลเหตุสำคัญที่ทำให้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องโปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงเทศาภิบาลและผู้ว่าราชการเมืองซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเรือนจำมณฑลและเมือง ต้องหมั่นตรวจตราเรือนจำในบังคับบัญชานั้น คงจะสืบเนื่องมาจากการที่ระบบงานราชทัณฑ์ของไทยในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังคงดำเนินไปตามแบบจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
ครั้นรัฐบาลชาติมหาอำนาจตะวันตกส่งอัครราชทูตผู้แทนเข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี เพื่อเปิดการค้าขายกับประเทศสยาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้มีการหยิบยกเรื่องระบบงานราชทัณฑ์ของไทยขึ้นเป็นเงื่อนไขหนึ่ง ในการขอกำหนดสิทธิสภาพนอกอาณาเขตไว้ในสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าขายและการเดินเรือ ซึ่งรัฐบาลสยามก็ได้จำต้องยอมโอนอ่อนตามข้อเรียกร้องนั้นเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราชของชาติ
![](https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2017/01/8.jpg)
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากจะได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบปกครองหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาลแล้ว ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้เริ่มจัดระเบียบงานราชทัณฑ์และการเรือนจำของประเทศให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ โดยโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างเรือนจำสมัยใหม่แบบเรือนจำอังกฤษขึ้นใหม่ที่กรุงเทพฯ เรียกว่า “กองมหันตโทษ” เป็นที่คุมขังนักโทษที่มีระวางโทษตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป กับ “กองลหุโทษ” เป็นที่คุมขังนักโทษที่ต้องระวางโทษน้อยกว่า 6 เดือน
ส่วนเรือนจำในหัวเมือง พบหลักฐานว่า เรือนจำที่เมืองระนองซึ่งสร้างขึ้นในราว พ.ศ. 2434 นั้น “ตึกที่ขังนักโทษทำเป็นแบบอย่างอังกฤษ ห้องขังซ้อนกันเป็น 2 ชั้น เป็น 2 แถว กลางเป็นช่องโปร่งตลอดแต่พื้นถึงหลังคา ชั้นล่างห้องขังเป็นห้องสำหรับขังห้องละคน แต่ชั้นบนขังได้ห้องละ 20 คน” [23]
ส่วนเรือนจำที่นครเชียงใหม่ที่ ปีแอร์ โอร์ต (Pierre Orts) ผู้ช่วยที่ปรึกษากฎหมายชาวเบลเยียม ซึ่งเดินทางขึ้นไปเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีที่นายทหารไทยวิวาทกับชาวอเมริกันได้ไปตรวจเยี่ยมเมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. 2440 ยังคงสภาพเป็น “คุก” แบบโบราณ ดังที่ พิษณุ จันทร์วิทัน ได้ถอดความจาก “Pierre Orts’s diaries” ไว้ในชื่อ “ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง” ว่า
“ในเชียงใหม่มีเรือนจำ 2 แห่ง
1. เรือนจำของศาลสถิตย์ยุติธรรม สำหรับกักขังบุคคลที่ได้รับการตัดสินว่ามีความผิดสถานเบาและถูก
จำคุกในระยะสั้น
2. เรือนจำใหญ่ สำหรับนักโทษคดีสำคัญ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกรมมหาดไทย
วันนี้ข้าพเจ้าไปเยี่ยมชมเรือนจำใหญ่ ได้เห็นสภาพอันน่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง เรือนจำแห่งนี้ไม่มีหลังคา และพื้นก็เฉอะแฉะไปด้วยโคลนหนาประมาณ 2-3 นิ้ว ต้องเดินไปบนสะพานไม้ที่ทอดไว้สำหรับเดินจากประตูใหญ่เข้าไปในตัวเรือนจำ ภายในเรือนจำก็มืดและมีเหล่านักโทษผู้เคราะห์ร้ายประมาณ 20 คน ยืนอยู่บนพื้นอันเฉอะแฉะด้วยโคลนสีดำ
เมื่อเข้าไปภายในก็จะมีสภาพเหมือนโรงเก็บสินค้า มีนักโทษใส่ขื่อคาคุกเข่าอยู่บนพื้นไม้ บ้างก็สูบบุหรี่ บ้างก็นั่งห้อยแขนอยู่ โรงเรือนมี 3 ประตู ประตูแรกเป็นที่จองจำนักโทษที่ถูกจำคุกในระยะสั้น ประตูที่สองเปิดออกไปสู่ที่คุมขังนักโทษฉกรรจ์ และประตูที่สามเป็นประตูห้องจำคุกนักโทษหญิง ห้องขังทั้งหมดแทบจะไม่มีอากาศหายใจ มีแสงสว่างก็เพียงที่ลอดเข้าทางรอยแตกของผนังเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นอันสุดจะทนทานอยู่ทั่วไป เราต้องคลานเข้าไปทางประตูที่จะเข้าไปสู่ห้องขังนักโทษหญิงซึ่งสูงเพียงแค่ 60 เซนติเมตรเท่านั้น ข้าพเจ้าคิดว่าสถานที่เช่นนี้ เปรียบไม่ได้แม้กับคอกหมูของเราชาวยุโรป เพราะสัตว์เลี้ยงคงอาศัยอยู่ไม่ได้” [24]
การปรับปรุงเรือนจำทั่วประเทศได้ทยอยดำเนินการมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนล่วงสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อสยามมีชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 รัฐบาลสยามก็ได้เปิดการเจรจาขอยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
โดยได้แสดงให้ชาติมหาอำนาจเหล่านั้นได้ตระหนักชัดว่า รัฐบาลสยามได้ดำเนินการปรับปรุงเรือนจำทั่วประเทศให้ได้มาตรฐานมาเป็นลำดับแล้ว ดังมีพยานปรากฏในลายพระหัตถ์ที่ นายพลตรี พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงนครราชสีมา กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จฯ ตรวจราชการมณฑลพายัพเมื่อ พ.ศ. 2463 ว่า
“เรือนจำที่เชียงใหม่งดงามมาก จนถึงรู้สึกว่าน่าเสียดายที่เป็นเรือนจำ ถ้าเป็นโรงเรียนของรัฐบาลน่าจะเหมาะกว่า รูปร่างนั้นคือเป็นตึกทุกแห่ง คล้ายกับเรือนจำที่น่าน แต่มีมากกว่าหลายหลัง พอโผล่เข้าไปในประตูก็เห็นตึกเรียงกันไป 2 แถว เป็นหลังๆ ไป มีถนน สนาม แลสวนอยู่กลางท่วงทีคล้ายโรงเรียนนายร้อยทหารบกที่ถนนราชดำเนิน
ตึก 2 แถวนี้เป็นที่ขังนักโทษทั้งนั้น เป็นห้องๆ ไปทั้ง 2 ชั้น ประตูน่าต่างมีกรงเหล็กตลอด แต่ภายในห้องสบายดีมาก นอกจากนี้มีโรงงานที่สร้างเป็นรูปศาลาใหญ่โต โรงเลี้ยงอาหาร โรงครัว ล้วนเป็นของถาวรทั้งนั้น มีตึกที่พยาบาลนักโทษที่ป่วยอีกแห่งหนึ่ง” [25]
นอกจากนั้น ศาสตราจารย์ ดร. วิษณุ เครืองาม ยังได้กล่าวถึงภารกิจ “รับแขกเมือง” ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไว้ในหนังสือ “โลกนี้คือละคร” ว่า “จำได้ว่านานมาแล้วพระยากัลยาณไมตรีหรือ ดร. ฟรานซิส บี. แซยร์มาเยือนเมืองไทย ท่านเจาะจงขอไปดูคุก” [26] เพราะ “เจ้าคุณ
กัลยาณ์ ท่านเคยต่อสู้เพื่อเอกราชทางการศาลของไทย จึงอยากดูคุกไทยว่าเจริญขึ้นกว่าเมื่อปี 2460 ไหม” [27]
อนึ่ง ที่เข้าใจกันไปว่า เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ได้ยกพื้นที่เวียงแก้วให้เป็นที่ตั้งเรือนจำมณฑลพายัพนั้น
เมื่อตรวจสอบความใน “พระดำรัสตรัสเล่า” ที่พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงเล่าประทาน คุณแสงเดือน ณ เชียงใหม่ กลับพบความว่า
“‘เวียงแก้ว’ เป็นเนื้อที่สี่เหลี่ยมจดถนนทุกทิศเป็นมรดกของเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ เจ้านครเชียงใหม่
ที่ 8 เจ้าอินทวโรรสฯ ได้ยกทูลเกล้าฯ ถวายให้เป็นเรือนจำจังหวัดเชียงใหม่ ในด้านทิศใต้ ส่วนด้านทิศเหนือ เจ้าอินทวโรรสฯ ได้จัดทำเป็นสวนสัตว์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งได้ยกให้ข้าบริพาร คือ พระญาติๆ หลานเหลน และเหล่าเสนาของท่าน เช่น หมื่น ท้าว พญาทั้งหลายในสมัยนั้น” [28]
ภายหลังยุบเลิกการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เรือนจำมณฑลพายัพก็ได้แปรสภาพมาเป็นเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ และเมื่อมีการย้ายเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ออกไปอยู่ในที่ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ริมถนนโชตนา เรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่ก็ได้แปรสภาพมาเป็นทัณฑสถานหญิงจังหวัดเชียงใหม่
ส่วนพื้นที่ที่เจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์จัดเป็นสวนสัตว์ ก็กลายสภาพมาเป็นบ้านพักข้าราชการส่วนราชการคลังจังหวัดเชียงใหม่ กับเป็นคลังสินค้าของสำนักงานยาสูบเชียงใหม่ และพื้นที่ด้านทิศตะวันออกที่ยกให้บริพาร ก็คงเป็นบ้านพักอาศัยของเชื้อวงศ์เจ้านายและวงศ์วานว่านเครือของเหล่าบริพารในเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์สืบมาจนถึงทุกวันนี้
อ่านเพิ่มเติม :
- กำเนิดกรมราชทัณฑ์ เรือนจำกลางบางขวาง-คลองเปรม และการเลิกธรรมเนียมเก็บเงินนักโทษ
- ห้องขัง “อัล คาโปน” มาเฟียผู้มากอิทธิพลในอดีตไม่หรูแบบที่คิด เรือนจำชำระความเข้าใจใหม่
- กรมพระยาชัยนาทฯ ฝันถึง “ทูนหม่อมพ่อ” ก่อนทรงพ้นโทษจากเรือนจำช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เชิงอรรถ :
[1] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร.0201.32/1 เรื่อง ตึกหอคำ นครน่าน (พ.ศ. 2472-2482).
[2] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สบ.2.46/11 เรื่อง บันทึกชี้แจงเรื่องคุ้มหลวงเมืองนครลำปาง (ซึ่งชี้แจงต่อศาลในวันมาสืบที่วัง) (พ.ศ. 2469).
[3] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร.0201.32/1 เรื่อง ตึกหอคำ นครน่าน (พ.ศ. 2472-2482).
[4] พระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค). พงศาวดารโยนก. น. 399.
[5] เรื่องเดียวกัน, น. 461.
[6] สอบทานกับ “ปฏิทินสำหรับค้นวันเดือนจันทรคติกับสุริยคติ ของกรมวิชชาธิการ กระทรวงธรรมการ” แล้ว พบว่า วันเพ็ญเดือน 9 (เหนือ) ปีระกาสัปตศก จุลศักราช 1187 นั้น ตรงกับวันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2368
[7] คาดว่าน่าจะอยู่ในบริเวณที่แผนที่เมืองนครเชียงใหม่ พ.ศ. 2436 ระบุว่าเป็นคุ้มของเจ้าแสนฟอง
[8] อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และ เดวิด เค. วัยอาจ. ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่. น. 210-211.
[9] พงศาวดารโยนก, น. 492.
[10] ตรงกับวันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2397
[11] พงศาวดารโยนก, น. 492.
[12] ตรงกับวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2418
[13] สงวน โชติสุขรัตน์. “จดหมายเหตุเมืองเชียงใหม่,” ใน ประชุมตำนานลานนาไทย เล่ม 1. น. 623.
[14] สอบทานกับ “ปฏิทินสำหรับค้นวันเดือนจันทรคติกับสุริยคติ ของกรมวิชชาธิการ กระทรวงธรรมการ” แล้ว พบว่า วัน เดือน 8 เหนือ (เดือน 6 ใต้) ขึ้น 11 ค่ำ ปีมะเมียโทศก นั้น ตรงกับวันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2413 หาใช่วันพฤหัสบดีดังที่จดหมายเหตุเมืองเชียงใหม่บันทึกไว้
[15] ต่อมาในปี พ.ศ. 2416 ได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น เจ้าอินทรวิไชยานนท์ฯ เจ้านครเชียงใหม่ที่ 7 และได้เลื่อนเป็นพระเจ้าอินทรวิไชยานนท์ฯ พระเจ้านครเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2425
[16] ตรงกับวันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2418
[17] ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2429
[18] ประชุมตำนานลานนาไทย เล่ม 1, น. 622-627.
[19] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. สร.0201.32/1 เรื่อง ตึกหอคำ นครน่าน (พ.ศ. 2472-2482).
[20] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ร.6 ม.27/10 เรื่อง สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงนครราชสีมา เสด็จมณฑลพายัพ (31 ตุลาคม 2463-29 มีนาคม 2467).
[21] “ประกาศตั้งผู้บัญชาการเรือนจำ,” ใน ราชกิจจานุเบกษา 20 (5 กรกฎาคม 122), น. 198.
[22] “ข้อบังคับเรือนจำสำหรับคุมขังนักโทษตามหัวเมือง,” ใน ราชกิจจานุเบกษา 16 (4 กุมภาพันธ์ 118), น. 635-646.
[23] พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. 128. น. 43.
[24] พิษณุ จันทร์วิทัน (แปล). ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง. น. 90-91.
[25] หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ร.6 ม.27/10 เรื่อง สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงนครราชสีมา เสด็จมณฑลพายัพ (31 ตุลาคม 2463-29 มีนาคม 2467).
[26] วิษณุ เครืองาม. โลกนี้คือละคร. น. 238.
[27] เรื่องเดียวกัน.
[28] แสงดาว ณ เชียงใหม่. “พระดำรัสตรัสเล่า”, พระประวัติพระราชชายา เจ้าดารารัศมี 26 สิงหาคม 2416-9 ธันวาคม 2476. น. 31.
บรรณานุกรม :
กรมวิชชาธิการ กระทรวงธรรมการ. ปฏิทินสำหรับค้นวันเดือนจันทรคติกับสุริยคติ แต่ปีขาลจัตวาศก ร.ศ. 1 พ.ศ. 2325 จ.ศ. 1144 ถึงปีวอกจัตวาศก ร.ศ. 151 พ.ศ. 2475 จ.ศ. 1294. (พิมพ์ครั้งที่สอง). พระนคร : โรงพิมพ์อักษรนิติ, 2474.
“ข้อบังคับเรือนจำสำหรับคุมขังนักโทษตามหัวเมือง,” ใน ราชกิจจานุเบกษา 16 (4 กุมภาพันธ์ 118), น. 635-646.
“ประกาศตั้งผู้บัญชาการเรือนจำ,” ใน ราชกิจจานุเบกษา 20 (5 กรกฎาคม 122), น. 198.
ประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค), พระยา. พงศาวดารโยนก. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา, 2516.
พิษณุ จันทร์วิทัน (แปล). ล้านนาไทยในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : สายธาร, 2546.
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. 128. (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิมพ์ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ฉลองพระกรุณาธิคุณ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ในโอกาสฉลองพระชนมายุ 82 พรรษา 24 พฤศจิกายน 2550). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550.
วิษณุ เครืองาม. โลกนี้คือละคร. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ : มติชน, 2554.
สงวน โชติสุขรัตน์. “จดหมายเหตุเมืองเชียงใหม่”, ใน ประชุมตำนานลานนาไทย เล่ม 1. พระนคร : โอเดียนสโตร์, 2515.
แสงดาว ณ เชียงใหม่. “พระดำรัสตรัสเล่า”, พระประวัติพระราชชายา เจ้าดารารัศมี 26 สิงหาคม 2416-9 ธันวาคม 2476. (อนุสรณ์ทำบุญสตมวาร (100 วัน) วันถึงแก่กรรม เจ้าแสงดาว ณ เชียงใหม่). เชียงใหม่ : โรงพิมพ์กลางเวียง,
2517.
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารกรมราชเลขาธิการ รัชกาลที่ 6 กระทรวงมหาดไทย ร.6 ม.27/10 เรื่อง สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงนครราชสีมา เสด็จมณฑลพายัพ (31 ตุลาคม 2463-29 มีนาคม 2467).
______. เอกสารกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี สร.0201.32/1 เรื่อง ตึกหอคำ นครน่าน (พ.ศ. 2472-2482).
______. เอกสารส่วนบุคคล สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
สบ.2.46/11 เรื่อง บันทึกชี้แจงเรื่องคุ้มหลวงเมืองนครลำปาง (ซึ่งชี้แจงต่อศาลในวันมาสืบที่วัง) (พ.ศ. 2469).
อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และ เดวิด เค. วัยอาจ. ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่. เชียงใหม่ : หจก. สำนักพิมพ์ตรัสวิน (ซิลเวอร์ม
บุคส์), 2543.
http://www.correct.go.th/correct2009/index.php?action=
showcontent&c_id=3
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 9 มกราคม 2560